“ พ่อมดแม่มด เวทมนตร์คาถา ” ฟังดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากๆเลยใช่ไหมคะ ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ดังอย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) ที่มาเปลี่ยนกระแสโลกมากๆเพราะความเป็นโลกแฟนตาซี มีเวทมนตร์ใช้สะดวกสบาย เลยทำให้คนดูอย่างเราๆอินไปตามๆกัน และอยากจะมีเวทมนต์หรือขี่ไม้กวาดลอยไปบนฟ้าดูสักครั้งเหมือนพวกพ่อมดแม่มดในหนัง แต่รู้ไหมคะว่า ก่อนหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) จะออกมาฉายให้ชมกันนั้น ความคิดเรื่องพ่อมดแม่มดของคนในยุคกลางเนี่ย ค่อนข้างจะแตกต่างจากคนในยุคปัจจุบันชัดเจนเลยค่ะ คือคนยุคกลาง (ค.ศ. 1480-1750) พวกเขาไม่ได้อยากเป็นพ่อมดแม่มดกันเลยนะคะ เรียกได้ว่าคนค่อนข้างหวาดกลัวเลยทีเดียว จนมีกิจกรรมๆหนึ่งเกิดขึ้นมานั่นก็คือ“ การล่าแม่มด " นั่นเองค่ะ เรียกได้ว่ากลายเป็นยุคมืดเลยล่ะค่ะ และการล่าแม่มดของจริงนี่ไม่ได้เหมือนกับในหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) เลยนะคะ เหตุการณ์การล่าแม่มดจริงๆเนี่ยค่อนข้างจะโหดร้ายแล้วก็ร้ายแรงเป็นอันดับต้นๆของประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว ดังนั้นวันนี้เอฟวีนิวทัวร์จะนำเรื่อง“ การล่าแม่มด “ มาเล่าให้ทุกท่านฟังกันค่ะ .... (ไปฟังกันเล้ยยยย)
คนยุคกลางมีความเชื่อว่า “เวทมนตร์” ก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ
คนยุกลางก่อนหน้านี้ค่อนข้างเชื่อกันว่าเวทมนต์นั้นอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเราทั่วโลกเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเพาะปลูกให้ดีขึ้น การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น อย่างฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลมพายุ หรือแม้กระทั่งโรคระบาด ก็เชื่อค่ะว่าเป็นผลมาจากเวทมนตร์เพราะสิ่งต่างๆที่ขึ้นนั้นไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร และคนในสมัยยุคกลางเนี่ยพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าเวทมนต์จะดีหรอกนะ ถ้ามีด้านสว่างก็ต้องมีด้านมืดควบคู่กันไปใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นต้องมีบางคนเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดีกับศัตรูได้เช่นกัน อย่างเช่นการสาปแช่งคนอื่นๆ จนเกิดเหตุการณ์สูญเสียต่างๆโดยที่ไม่มีสาเหตุ ดังนั้นก็ไม่แปลกเลยนะคะ ที่คนในสมัยนั้นจะมีความหวาดกลัวต่อเวทมนต์ แล้วรู้สึกไม่อยากให้คนในหมู่บ้านหรือเพื่อนบ้านเป็นพ่อมดแม่มดเพราะคิดว่าไม่ได้เป็นที่รักของพวกเขาตลอดเวลาอาจจะถูกสาปแช่งจนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับตัวเองในสักวันก็เป็นไปได้
เชื่อใน ศาสนา มากจนแยกกับ ชีวิตประจำวัน ไม่ได้
ในสมัยยุคกลางมีความเชื่อเรื่องศาสนาค่อนข้างมากเลยทีเดียวจนแทบจะแยก ศาสนากับชีวิตประจำวัน ออกจากกันไม่ได้เลยล่ะค่ะ โดยพวกเขาเชื่อกันว่าพระเจ้ามีศัตรูก็คือซาตาน (The Devil) หรือว่าลูซิเฟอร์ (Lucifer) นั่นเอง และพวกพ่อมดแม่มดคนที่มีเวทมนต์เนี่ยแหละ คือกลุ่มคนที่ไปทำสัญญากับลูซิเฟอร์ (Lucifer) มาค่ะโดยการเอาอะไรบางอย่างของตัวเองไปแลกเพื่อที่จะได้ความแตกต่างหรือพลังพิเศษกลับมาแทนนั่นเอง ดังนั้นคนในสมัยยุคกลางค่อนข้างกลัวและรังเกียจพวกพ่อมดแม่มดที่มีเวทมนต์มากๆ และสุดท้ายพอกลัวมากๆถ้าไปสู้คนเดียวก็อาจจะทำอะไรไม่ได้! เลยยกพวกไปกันเยอะๆจน“เกิดการล่าแม่มด” ขึ้นในที่สุดค่ะ
การล่าแม่มดครั้งยิ่งใหญ่เกิดในยุโรป
การล่าแม่มดในยุคกลางเป็นที่นิยมมากๆในแถบยุโรปนะคะโดยเฉพาะบริเวณ ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ส่วนที่เริ่มต้นการล่าแม่มดครั้งยิ่งใหญ่จริงๆในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ คือตอนช่วงปลายศตวรรษที่ 15 โดยเกิดขึ้นบริเวณฝรั่งเศส เยอรมนี ก่อนที่จะค่อยๆแพร่กระจายเข้าไปในอังกฤษ สกอตแลนด์ ช่วงประมาณศตวรรษที่ 16 ค่ะ ช่วงนั้นการล่าแม่มดเป็นสิ่งที่ฮิตกันมากจริงๆถึงขนาดที่ว่าเกิดเป็น “กฎหมายต่อต้านการเป็นพ่อแม่มด” ในยุโรปเลยทีเดียว (ย้ำนะคะ! ต่อต้านการเป็นพ่อมดแม่ ไม่ใช่ X ต่อต้านการล่า) ดังนั้นการตัดสินโทษพ่อมดแม่มดหลายๆครั้งนั้นถูกต้องตามกฎหมายและเกิดขึ้นในศาลค่ะ
ส่วนเหตุการณ์การล่าแม่มดนั้น เป็นเหตุการณ์ธรรมดาทั่วไปเลยค่ะและเกิดขึ้นภายในหมูบ้านนั่นแหละ เช่น เกิดโรคระบาด เกิดภัยพิบัติ สัตว์ตายโดยไม่มีสาเหตุหรือเหตุการณ์แปลกๆในหมู่บ้านที่ไม่มีสาเหตุเช่นกัน ก็เชื่อกันว่าโดนแม่มดสาปแล้วนั่นเอง จนนำไปสู่การกล่าวโทษและหาตัวผู้ต้องสงสัยภายในหมู่บ้าน ว่าเป็นฝีมือของใครกันแน่ และหลังจากที่สงสัยกันแล้วว่า คนโน้นเป็น! คนนี้เป็น! คนนั้นเป็น! ก็จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จากนั้นก็จะออกไปล่าแม่มดคนที่ถูกสงสัยทันที และเริ่มเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ว่าเป็นพ่อมดแม่มดจริงๆรึป่าว
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นแม่มดกับเกณฑ์ในการวิเคราะห์!?
หากใครคนไหนที่แปลกแตกต่างจากคนอื่นมากๆก็จะโดนชี้ทันทีว่าเป็นแม่มดค่ะ โดยเฉพาะผู้หญิงนะคะมักจะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษเลย เพราะว่าตามความเชื่อผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ และถูกชักจูงได้ง่าย เลยทำให้ผู้หญิงมักจะโดนกล่าวโทษอยู่บ่อยครั้ง อย่างผู้หญิงกลุ่มนี้ที่แปลกแตกต่างจากคนอื่นเช่น ผู้หญิงหม้ายที่ไม่มีใครคุ้มครอง คนแก่ คนหน้าตาอัปลักษณ์ หรือแม้กระทั่งผู้หญิงที่สวยเกินไปก็โดนจ้า เพราะพวกเขาเชื่อว่าเธอนำดวงวิญญาณไปขายให้ซาตานเพื่อแลกกับรูปร่างอันงดงามนั่นเอง แต่บางครั้งก็ไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะคะที่โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเพราะว่าผู้ชายบางคนก็โดนกล่าวหาว่าเป็นพ่อมดเหมือนกันค่ะแต่ว่ามีน้อยกว่าผู้หญิง
โทษประหารที่แม่มดต้องพบเจอ? สอบสวน – ทรมาน – ประหาร
หากคนๆนั้นโดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดแล้วละก็ ก็คงหนีไม่พ้นและต้องเจอสอบสวนในที่สุด
สอบสวน ด้วยการทดสอบง่ายๆว่าใครเป็นแม่มดก็คือ มีความเชื่ออยู่ว่าถ้าหากใครเป็นแม่มดจะต้องลอยน้ำได้ ดังนั้นพวกเขาก็จะจับตัวผู้ถูกสงสัยโยนลงน้ำทันที ถ้าหากใครลอยขึ้นมาได้พวกเขาก็จะเชื่อทันทีค่ะว่าคนๆนั้นเป็นแม่มด แต่ถ้าใครจมลงไปจะเป็นผู้บริสุทธิ์ (บางทีก็จมน้ำตายไปเลย) ส่วนผู้ที่รอดก็จะถูกถามคำถามประมาณนี้ เวทมนตร์ที่ตนใช้คืออะไร กิจกรรมพิธีต่างๆ และความสัมพันธ์ที่มีกับซาตาน ถ้าแม่มดมีความสัมพันธ์กับซาตาน ตอนที่ทำสัญญากันจะมีการแตะเนื้อต้องตัวกัน ดังนั้นรอยตรงที่ซาตานแตะน่าจะยังอยู่บนตัวแน่นอน ซึ่งคนๆนั้นจะต้องถูกจับแก้ผ้าออกหมดเพื่อหารอย * ผู้ต้องสงสัยมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง โดยเฉพาะพวกแม่หม้าย
และพอสอบสวนพิสูจน์ได้ความว่าคนนี้มีความเข้าข่ายที่จะเป็นแม่มด จากนั้นก็จะถูกนำตัวไปทรมานให้รับสารภาพ
ทรมาน เพื่อเค้นเอาความจริงให้สารภาพ เริ่มด้วยการตอกเล็บ -บีบขมับ -เข้าเครื่องยืดแขนขา -เอาเหล็กร้อนแดงๆจิ้มตามตัว ซึ่งบางคนบอกไปหมดแล้วก็ยังถูกทรมานอยู่ ทำให้ในปี ค.ศ.1486 ถึงขั้นมีการทำเป็นหนังสือคู่มือการล่าแม่มดขึ้นชื่อ The Hammer of Witches (ค้อนแห่งแม่มด) ซึ่งในหนังสือจะเขียนเรื่องราวอย่างละเอียดเลยค่ะว่าจะต้องทำอย่างไรกับแม่มด วิธีการทรมานเป็นอย่างไร อะไรประมาณนี้ค่ะ และหนังสือเล่มนี้ก็ทำให้การล่าแม่มดนั้นแพร่กระจายหนักกว่าเดิมอีกค่ะ จนถูกยกให้เป็นหนังสือที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เลย และในปี ค.ศ. 1594 ที่เมืองคาลวินิสต์. สกอตแลนด์ “นางเอลิสัน บาลโฟร์” ถูกทรมานด้วยการเอาเหล็กรัดบีบแขนนานถึง 48 ชั่วโมง สุดท้ายจึงจับเธอแก้ผ้าแล้วแขวนโยงกับรอก และถ่วงน้ำหนักที่เท้า ดึงห้อยแขวนไว้จนกว่าจะตาย พูดได้ว่ายิ่งมีการคิดค้น พัฒนาเครื่องประหารได้มากเท่าไหร่ จำนวนผู้ถูกประหารก็จะมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
พอสอบสวนแล้วทรมานต่างๆนานา จนสรุปได้ว่าคนๆนี้เป็นแม่มด สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อๆไปก็คือ...
ประหาร ในหลายพื้นที่มีวิธีการประหารที่แตกต่างกันค่ะ เช่น การตอกร่างที่ยังมีชีวิตอยู่ไว้กับโลง การตัดคอด้วยกิโยติน เข้าเครื่องดึงแขนขา หรือการขังลืม อะไรทำนองนี้ค่ะ อย่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ก็มักจะนำคนที่เป็นแม่มดไปแขวนคอ แต่ที่นิยมที่สุดก็คือ การเผาทั้งเป็นค่ะ และในจุดนั้นความตายน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่พวกแม่มดใฝ่หามากที่สุด เพราะพวกเธอถูกทรมานก่อนถูกประหารหนักจริงๆ จนคิดว่าตายไปซะยังดีกว่าต้องมาทรมาน แต่บางกรณีก็อาจจะถูกแค่เนรเทศออกไปจากหมู่บ้านหรือประเทศ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงน้อยลงมานิดนึง
เค้าว่ากันว่าจำนวนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกสังหารด้วยข้อหาแม่มดมีจำนวนมหาศาลเลยล่ะค่ะ ยิ่งในประเทศเยอรมนีนั้นมีการล่าแม่มดมากที่สุดแล้วถ้าเทียบกับประเทศอื่น โดยเฉพาะที่เมืองบัมแบร์ก (Bamberg) และเมื่อประเมินทุกประเทศที่มีการล่าแม่มดเข้าไปรวมกันแล้ว เชื่อกันว่าไม่น้อยกว่า 200,000 คนเลยทีเดียว (โอ้โห! เยอะสุดๆ)
ทีนี้อยากรู้กันไหมคะว่า พวกเขาเลิกการล่าแม่มดได้อย่างไร? เพราะความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์นั่นเอง ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นและได้ตอบคำถามให้กับคนยุคนั้นได้ทุกอย่าง ที่แต่ก่อนพวกเขาเคยเชื่อกันว่าสิ่งนี้เกิดจากแม่มด วิทยาศาสตร์จึงเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ให้กับคนยุคนั้นได้ ประกอบกับศาสนาช่วงนั้นศาสนาคริสต์ก็เริ่มแตกนิกายต่างๆออกมา ผู้คนเริ่มไม่เชื่อศูนย์กลางอำนาจและเริ่มออกมาปกป้องคนที่โดนกล่าวหาแล้วถามหาหลักฐานต่างๆในการเป็นแม่มด ทำให้ผู้คนเริ่มต่อต้านการล่าแม่มดกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนการล่าแม่มดนั้นค่อยๆลดลง แล้วหายไปหมดในที่สุดค่ะ และประเทศเนเธอร์แลนด์เองก็เป็นประเทศแรกนะคะที่ประกาศยุติการประหารแม่มดในปี ค.ศ. 1610 แต่กว่าจะยุติได้หมดทุกประเทศก็เกือบถึงปลายศตวรรษเลยค่ะ และยุคแห่งความตื่นกลัวแม่มดก็จบลงแต่เพียงเท่านี้
สุดท้ายนี้ความรู้จากยุคไล่ล่าแม่มด สอนอะไรบ้าง? อย่างน้อยก็สอนให้รู้ว่า คนเราควรจะใช้สติปัญญาพิจารณาสิ่งที่เค้าว่าโหดร้ายมากกว่าเอาความเชื่อมาอยู่เหนือเหตุผลค่ะ ....
ชมบทความอื่นๆ
ชอบบทความ เอฟวีนิวทัวร์ ทำยังไงนะ?
1. กดแชร์ส่งต่อ ให้เพื่อนๆ อ่านกันได้ค่ะ
2. อย่าลืม กด Like กด Follow (ติดตาม) กันที่ช่องทาง Facebook, Instagram, Twitter และ Subscribe ช่อง YouTube ของเราด้วยนะคะ
02-108-8666
AVENUE INTER TRAVEL GROUP
#เปิดตำนาน #ล่าแม่มด #ยุคกลาง #ประวัติศาสตร์ #พ่อมด #แม่มด #เอเชีย #ชำนาญทัวร์เอเชีย #ยุโรป #ชำนาญยุโรป #ทัวร์สุดคุ้ม #รับจัดทัวร์ #รับจัดทัวร์หมู่คณะ #เราชำนาญเส้นทางยุโรปและเอเชีย